วริษา ศรีเปลี่ยนจันทร์
เขียนโดย
วริษา ศรีเปลี่ยนจันทร์

ประกันสังคมมีประโยชน์อย่างไร ใครมีสิทธิ์ใช้บ้าง

รวมข้อมูลเกี่ยวกับสิทธิประกันสังคม ใครใช้ได้ คุ้มครองประโยชน์อะไรบ้าง
เผยแพร่ครั้งแรก 31 ก.ค. 2020 อัปเดตล่าสุด 17 พ.ย. 2020 เวลาอ่านประมาณ 8 นาที
ประกันสังคมมีประโยชน์อย่างไร ใครมีสิทธิ์ใช้บ้าง

เรื่องควรรู้

ขยาย

ปิด

  • ประกันสังคมเป็นประกันชีวิตที่เกิดจากการจ่ายเงินสมทบไปที่กองทุนประกันสังคม ผู้ที่จ่ายเงินสมทบให้กองทุนจะมีสิทธิ์ใช้ประกันสังคมในการดูแลสุขภาพได้ หรือเรียกอีกชื่อว่า “ผู้ประกันตน”
  • โดยปกติบริษัท และสถานประกอบการจะให้ลูกจ้างทำประกันสังคม โดยเงินที่ส่งไปจ่ายสมทบจะหักจากเงินเดือนของลูกจ้างเป็นจำนวน 5% แต่ผู้ทำงานอิสระ หรือฟรีแลนซ์ก็สามารถทำประกันสังคมเองได้เช่นกัน
  • สิทธิประกันสังคมจะมีประโยชน์ในการแบ่งเบาค่าใช้จ่าย เมื่อผู้ประกันตนเกิดอาการเจ็บป่วย ประสบอุบัติเหตุ เกิดทุพพลภาพ หรือหากตั้งครรภ์ ก็สามารถใช้สิทธิประกันสังคมในการเบิกค่าตรวจครรภ์ และค่าคลอดได้
  • ประกันสังคมที่จ่ายอย่างต่อเนื่องหลายเดือน หรือหลายปี สามารถกลายเป็นเงินบำเหน็จ หรือเงินบำนาญในยามชราภาพได้ด้วย ซึ่งเป็นประโยชน์ต่อผู้สูงอายุที่ไม่ได้ทำงานต่อแล้ว
  • เปรียบเทียบราคาและแพ็กเกจตรวจสุขภาพทั่วไป

ปัจจุบันการทำประกันชีวิต หรือประกันอุบัติเหตุเป็นสิ่งที่คนส่วนมากนิยมทำเพื่อให้เป็นประโยชน์เมื่อเกิดเหตุฉุกเฉินเกี่ยวกับสุขภาพ

นอกจากเหนือจากประกันของบริษัทเอกชนที่หลายคนหาซื้อไว้เอง มีเงื่อนไขกับราคาแตกต่างกันไป ภาครัฐเองก็มีประกันชีวิตที่ช่วยคุ้มครองผลประโยชน์เมื่อเกิดเหตุฉุกเฉินด้านสุขภาพเช่นเดียวกัน โดยมีชื่อเรียกว่า “ประกันสังคม”

แพ็กเกจที่คุณอาจสนใจ
โปรแกรมตรวจสุขภาพวันนี้ ที่คลินิกหรือรพ. ใกล้บ้านคุณ เริ่มต้นที่ 99 บาท ลดสูงสุด 96%

จองผ่าน HD ประหยัดกว่า / จ่ายทีหลังได้ / ผ่อน 0% ได้ / พร้อมแอดมินคอยตอบทุกคำถาม!

ความหมายของประกันสังคม

ประกันสังคม หมายถึง หลักประกันชีวิตซึ่งเกิดจากการจ่ายเงินสมทบให้กับทางกองทุนประกันสังคมทุกเดือน

เมื่อผู้จ่ายเงินสมทบ หรือที่เรียกว่า “ผู้ประกันตน” มีเหตุฉุกเฉินด้านสุขภาพ เช่น เจ็บป่วย ประสบอุบัติเหตุ คลอดบุตร เงินจากกองทุนประกันสังคมที่จ่ายไปก็จะสามารถนำมาเบิกจ่าย หรือคุ้มครองสิทธิประโยชน์ในการรักษาบางอย่างเพื่อช่วยประหยัดค่าใช้จ่ายมากขึ้น

ประเภทของผู้ประกันตน

ผู้ประกันตนที่ส่งเงินสมทบให้กับกองทุนประกันสังคมมีหลายประเภทด้วยกัน ได้แก่

  • ผู้ประกันตนตามมาตรา 33 คือ ผู้ประกันตนที่เป็นลูกจ้างซึ่งทำงานให้กับสถานประกอบการที่มีลูกจ้างมากกว่า 1 คน
  • ผู้ประกันตนตามมาตรา 39 คือ อดีตผู้ประกันตามมาตรา 33 ที่ลาออกมาแล้ว และสมัครใจจะส่งเงินสมทบไปที่กองทุนประสังคมต่อไปเพื่อรักษาสิทธิประกันสังคมเอาไว้
  • ผู้ประกันตนตามมาตรา 40 คือ บุคคลทำงานอิสระ เป็นแรงงานนอกระบบ หรือเรียกทั่วไปว่า “ฟรีแลนซ์”

วิธีการขึ้นทะเบียนเพื่อเข้าร่วมประกันสังคม

การเข้าสู่ระบบประกันสังคมจะเริ่มต้นเมื่อคุณได้เข้าไปทำงานเป็นลูกจ้างในบริษัท หรือสถานประกอบการ หลังจากนั้นนายจ้างจะขึ้นทะเบียนประกันสังคมให้ โดยสามารถขึ้นทะเบียนได้ที่สำนักงานประกันสังคมประจำจังหวัด หรือในพื้นที่ที่สถานประกอบการตั้งอยู่

หรือนายจ้างสามารถขึ้นทะเบียนได้ที่ www.sso.go.th ได้เช่นกัน โดยเอกสารประกอบการขึ้นทะเบียน ได้แก่

  • บัตรประจำตัวประชาชนลูกจ้าง ในกรณีในลูกจ้างเป็นคนไทย แต่หากเป็นคนต่างด้าว ให้ใช้ใบอนุญาตทำงานแทน
  • แบบฟอร์มขึ้นทะเบียนผู้ประกันตน (สปส.1-03) ซึ่งต้องกรอกทั้งในลูกจ้างที่ไม่เคยเข้าระบบ หรือขึ้นทะเบียนประกันสังคม และลูกจ้างที่เคยขึ้นทะเบียนเป็นผู้ประกันตนมาแล้ว

การหักเงินเพื่อเป็นเงินสมทบกองทุนประกันสังคม

เงินสมทบคือ เงินที่นายจ้าง และลูกจ้างต้องแบ่งจากเงินเดือนเพื่อนำส่งไปสมทบให้กับกองทุนประกันสังคมทุกเดือน โดยนายจ้างจะเป็นผู้หักเงินออกจากเงินเดือนลูกจ้างเป็นจำนวน 5% ของจำนวนเงินเดือน และเป็นผู้ส่งเงินไปให้กองทุนประกันสังคมเอง

แพ็กเกจที่คุณอาจสนใจ
โปรแกรมตรวจสุขภาพวันนี้ ที่คลินิกหรือรพ. ใกล้บ้านคุณ เริ่มต้นที่ 99 บาท ลดสูงสุด 96%

จองผ่าน HD ประหยัดกว่า / จ่ายทีหลังได้ / ผ่อน 0% ได้ / พร้อมแอดมินคอยตอบทุกคำถาม!

โดยเงินสมทบ 5% ที่ถูกหักไป จะประกอบไปด้วยสิทธิประโยชน์ดังนี้

  • สิทธิประโยชน์เมื่อเจ็บป่วย คลอดบุตร ทุพพลภาพ หรือตาย เป็นจำนวน 1.5%
  • สิทธิประโยชน์เพื่อสงเคราะห์บุตร และเมื่อยามชราภาพ เป็นจำนวน 1.5%
  • สิทธิประโยชน์เมื่อว่างงาน เป็นจำนวน 0.5%

ยังไม่มีเหตุให้ต้องใช้สิทธิประกันสังคม แล้วเงินที่จ่ายไปอยู่ที่ไหน?

หลายคนอาจสงสัยว่า แล้วระหว่างที่จ่ายเงินสมทบกองทุนประกันสังคมไปทุกเดือน หากไม่ได้เจ็บป่วย หรือเกิดเหตุฉุกเฉินด้านสุขภาพอะไร จะยังได้รับประโยชน์จากกองทุนประกันสังคมหรือไม่

คำตอบ คือ ผู้ประกันตนยังคงมีสิทธิเข้าถึงประโยชน์จากกองทุนประกันสังคมอยู่ ถึงแม้จะไม่ได้เจ็บป่วย หรือมีเหตุฉุกเฉินด้านสุขภาพใดๆ เพราะถือว่า ยังจ่ายเงินเข้ามาสมทบทุนกองประกันสังคมอยู่ตลอด ผู้ประกันตนรายนั้นจึงยังคงเป็นสมาชิกกองทุนประกันสังคมอยู่เหมือนเดิม

โดยในระหว่างที่ผู้ประกันตนรายอื่นๆ ยังไม่ได้ใช้สิทธิในประกันสังคมของตนเอง เงินที่ทุกคนแบ่งจ่ายเข้ามาก็จะถูกนำไปใช้เพื่อจ่าย และให้สิทธิประโยชน์กับสมาชิกกองทุนประกันสังคมคนอื่นๆ ที่มีค่าใช้จ่ายจากเหตุจำเป็นด้านสุขภาพ

หลายคนอาจคิดว่า การจ่ายเงินสมทบกองทุนประกันสังคมดูจะไม่คุ้มค่ากับอาการเจ็บป่วยที่เกิดขึ้นนานๆ ครั้ง และคิดว่า คงไม่น่าได้ใช้ประโยชน์จากกองทุนนี้ แต่ความจริงแล้ว การจ่ายเงินสมทบประกันสังคมอย่างสม่ำเสมอ จะช่วยให้สามารถเข้าถึงผลประโยชน์ได้ในวันที่คุณไม่คาดคิดมาก่อน

เพราะการใช้สิทธิประกันสังคมทุกกรณี จะต้องมีการตรวจสอบประวัติการส่งเงินสมทบย้อนหลังว่า มีระยะเวลาตามที่กองทุนกำหนดหรือไม่ หากขาดการส่งเงินสมทบตามที่กำหนด ก็จะไม่สามารถใช้สิทธิประกันสังคมได้ ได้แก่

แพ็กเกจที่คุณอาจสนใจ
โปรแกรมตรวจสุขภาพวันนี้ ที่คลินิกหรือรพ. ใกล้บ้านคุณ เริ่มต้นที่ 99 บาท ลดสูงสุด 96%

จองผ่าน HD ประหยัดกว่า / จ่ายทีหลังได้ / ผ่อน 0% ได้ / พร้อมแอดมินคอยตอบทุกคำถาม!

  • กรณีเจ็บป่วย ผู้ใช้สิทธิประกันสังคมจะต้องจ่ายเงินสมทบมาแล้วไม่น้อยกว่า 3 เดือน ภายในระยะเวลา 15 เดือนก่อนมาใช้บริการด้านการแพทย์
  • กรณีคลอดบุตร ผู้ใช้สิทธิประกันสังคมต้องจ่ายเงินสมทบมาแล้วไม่น้อยกว่า 5 เดือน ภายในระยะเวลา 15 เดือนก่อนวันคลอดบุตร
  • กรณีทุพพลภาพ ผู้ใช้สิทธิประกันสังคมต้องจ่ายเงินสมทบมาแล้วครบ 3 เดือน ภายในระยะเวลา 15 เดือนก่อนเกิดเหตุทำให้ทุพพลภาพ
  • กรณีตาย ผู้ใช้สิทธิประกันสังคมต้องจ่ายเงินสมทบมาแล้วครบ 1 เดือน ภายในระยะเวลา 6 เดือนก่อนถึงแก่ความตาย
  • กรณีสงเคราะห์บุตร ผู้ใช้สิทธิประกันสังคมต้องจ่ายเงินสมทบครบ 12 เดือน ภายในระยะเวลา 36 เดือนก่อนได้สิทธิรับประโยชน์ทดแทน
  • กรณีว่างงาน ผู้ใช้สิทธิประกันสังคมต้องจ่ายเงินสมทบมาแล้วไม่น้อยกว่า 6 เดือน ภายในระยะเวลา 15 เดือนก่อนว่างงาน

สถานพยาบาลสำหรับใช้สิทธิประกันสังคม

ผู้ประกันตนสามารถเลือกสถานพยาบาลสำหรับเข้ารับบริการทางการแพทย์ได้ถึง 3 แห่ง โดยอาจพิจารณาถึงความง่ายต่อการเดินทาง หรืออยู่ใกล้ที่พัก อยู่ในพื้นที่ภูมิลำเนาที่เข้าถึงได้ง่าย

หรือในเวลาต่อมา หากผู้ประกันมีการย้ายงาน หรือย้ายที่อยู่อาศัย ซึ่งทำให้มีเหตุจำเป็นต้องเปลี่ยนสถานพยาบาลที่ใช้สิทธิประกันสังคม ก็สามารถทำได้เช่นกัน แต่มีข้อจำกัดในการเปลี่ยนแค่ปีละ 1 ครั้ง และสามารถเปลี่ยนได้แค่ระหว่างวันที่ 1 มกราคม - 31 มีนาคมของทุกปีเท่านั้น

อย่างไรก็ตาม การเลือกสถานพยาบาลสำหรับสิทธิประกันสังคมก็ไม่ได้หมายความว่า เมื่อมีเหตุฉุกเฉินด้านสุขภาพแล้วจะต้องมารับบริการที่โรงพยาบาลทั้ง 3 แห่งนี้เท่านั้น คุณสามารถไปเลือกใช้บริการที่โรงพยาบาลอื่นได้เช่นกัน แต่ก็จะไม่ได้รับสิทธิประโยชน์ตามที่ประกันสังคมกำหนดไว้ 

นั่นหมายถึง อาจต้องสำรองจ่ายไปก่อนแล้วจึงมาเบิกกับประกันสังคมในภายหลัง รวมทั้งมีข้อจำกัดในการจ่ายค่ารักษาเพิ่มเติม เช่น สามารถใช้สิทธิประกันสังคมรักษาตัวในโรงพยาบาลเอกชนได้ไม่เกิน 72 ชั่วโมง จากนั้นต้องย้ายไปรักษาในโรงพยาบาลที่ผู้ประกันตนเลือกไว้  

สิทธิประโยชน์ที่ประกันสังคมคุ้มครอง

สิทธิประโยชน์ของผู้ประกันตนทั้ง 3 ประเภทจะแตกต่างกันไป ในที่นี้เราจะกล่าวถึงสิทธิประโยชน์ของผู้ประกันมาตรา 33 ได้แก่

1. สิทธิประโยชน์กรณีเจ็บป่วย

ผู้ประกันตนที่ส่งเงินสมทบครบ 3 เดือน ภายในระยะเวลา 15 เดือนก่อนเกิดอาการเจ็บป่วยสามารถเข้ารับการรักษา หรือรับบริการด้านการแพทย์ในโรงพยาบาลที่ตนเองเลือกไว้ในประกันสังคมโดยไม่เสียค่าใช้จ่าย

แต่ในกรณีที่ผู้ประกันไม่สามารถเข้ารับบริการที่โรงพยาบาลซึ่งตนเองเลือกไว้ได้ ทางสำนักงานประกันสังคมจะพิจารณาจ่ายค่าบริการด้านการแพทย์ตามความเหมาะสม เช่น

หากเข้ารับการรักษาที่โรงพยาบาลรัฐ ในกรณีเป็นผู้ป่วยนอก จะจ่ายค่าบริการตามความจำเป็น แต่หากเป็นผู้ป่วยใน จะจ่ายค่าบริการตามความจำเป็นภายในเวลาไม่เกิน 72 ชั่วโมงแรก ไม่รวมระยะเวลาในวันหยุดราชการ

หากเข้ารับการรักษาที่โรงพยาบาลเอกชน ในกรณีผู้ป่วยนอก จะจ่ายค่าบริการไม่เกิน 1,000 บาทต่อครั้ง ส่วนผู้ป่วยในจะพิจารณาเฉพาะค่าใช้จ่ายที่จำเป็นภายในระยะเวลาไม่เกิน 72 ชั่วโมงแรก ไม่รวมวันหยุดราชการ เช่น 

  • ค่ารักษาพยาบาลไม่เกินวันละ 2,000 บาท 
  • ค่าตรวจทางห้องปฏิบัติการไม่เกิน 1,000 บาท

ในกรณีการทำทันตกรรม หากผู้ประกันตนมีปัญหาเกี่ยวกับฟัน และเลือกไปรับบริการทางทันตกรรม เช่น อุดฟัน ผ่าตัดฟันคุด ถอนฟัน ที่โรงพยาบาลซึ่งตนเองเลือกไว้สำหรับใช้สิทธิประกันสังคม ก็สามารถเบิกค่าบริการด้านการแพทย์เท่าที่จำเป็นได้ในอัตราไม่เกิน 900 บาทต่อปี และต่อคน

หรือในกรณีใส่ฟันเทียมชนิดถอดได้ ก็สามารถเบิกค่าบริการด้านการแพทย์ และค่าทำฟันเทียมได้ไม่เกิน 1,500 บาท ภายในระยะเวลา 5 ปี ตั้งแต่วันที่เริ่มใส่ฟันเทียม

นอกจากนี้ผู้ประกันตนยังสามารถเข้าร่วมการตรวจสุขภาพได้ที่โรงพยาบาลซึ่งเข้าร่วมประกันสังคมทุกแห่งโดยไม่เสียค่าใช้จ่าย โดยรายละเอียดที่สามารถตรวจได้ จะได้แก่

  • การตรวจสุขภาพตา
  • การตรวจค่าสายตา
  • การตรวจคัดกรองการได้ยิน
  • การตรวจเต้านม
  • การเอกซเรย์ทรวงอก
  • การตรวจความสมบูรณ์ของเม็ดเลือด
  • การตรวจปัสสาวะ
  • การตรวจไขมัน และคอเลสเตอรอลในเส้นเลือด
  • การตรวจหาเชื้อไวรัสตับอักเสบ
  • การตรวจมะเร็งปากมดลูก

ในกรณีผู้ประกันตนประสบอุบัติเหตุร้ายแรง หรือเจ็บป่วยฉุกเฉินในขั้นวิกฤต ผู้ประกันตน หรือผู้ช่วยเหลือสามารถนำส่งผู้ประกันไปรับการรักษาที่โรงพยาบาลที่ใกล้ที่สุด

แต่ผู้ประกันตน หรือผู้ช่วยเหลือสามารถไปที่โรงพยาบาลที่ใกล้ที่สุดเพื่อรับการรักษาก่อนได้ แล้วทางสำนักงานประกันสังคมจะเป็นฝ่ายรับผิดชอบค่าใช้จ่ายในการรักษาจนกว่าผู้ประกันตนจะพ้นวิกฤตอันตรายภายในเวลา 72 ชั่วโมง

2. สิทธิประโยชน์กรณีคลอดบุตร

ผู้ประกันตนหญิงสามารถคลอดบุตรที่โรงพยาบาลแห่งใดก็ได้ จากนั้นนำสำเนาสูติบัตรของบุตร และบัตรประจำตัวประชาชนของตนเองไปเบิกรับค่าคลอดแบบเหมาจ่ายที่สำนักงานประกันสังคมเป็นจำนวน 13,000 บาท

นอกจากนี้ผู้ประกันตนหญิงตั้งครรภ์ยังจะได้รับเงินสงเคราะห์สำหรับใช้ในระหว่างหยุดงานเพื่อคลอดบุตรด้วยในอัตรา 50% ของเงินเดือนเป็นเวลา 90 วัน

ผู้ประกันตนชายที่มีภรรยากำลังจะตั้งครรภ์ก็สามารถนำใบสูติบัตรของบุตรกับสำเนาทะเบียนสมรส หรือหนังสือรับรองกรณีไม่ได้จดทะเบียนสมรสกันมาเบิกค่าคลอดที่สำนักงานประกันสังคมได้ โดยจะได้รับเงินเป็นค่าคลอดแบบเหมาในจำนวนเท่ากัน คือ 13,000 บาท

แต่ในกรณีที่คู่สามีภรรยาเป็นผู้ประกันตนในประกันสังคมทั้งคู่ จะสามารถเบิกค่าคลอดได้เพียงฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งเท่านั้น

ส่วนในระยะเวลาที่ตั้งครรภ์ และต้องไปฝากครรภ์กับแพทย์ หรือตรวจครรภ์ตามระยะเวลาที่กำหนด ทางสำนักงานประประกันสังคมจะจ่ายให้เป็นครั้งๆ ไป ได้แก่

  • ครั้งที่ 1: หากอายุครรภ์ไม่เกิน 12 สัปดาห์ สามารถเบิกได้ไม่เกิน 500 บาท
  • ครั้งที่ 2: หากอายุครรภ์เกิน 12 สัปดาห์ แต่ไม่ถึง 20 สัปดาห์ สามารถเบิกได้ไม่เกิน 300 บาท
  • ครั้งที่ 3: หากอายุครรภ์มากกว่า 20 สัปดาห์ แต่ไม่ถึง 28 สัปดาห์ สามารถเบิกค่าตรวจครรภ์ได้ไม่เกิน 200 บาท

3. สิทธิประโยชน์กรณีทุพพลภาพ

สิทธิประโยชน์สำหรับผู้ทุพพลภาพจะแบ่งเป็น 2 กรณี คือ

  • กรณีทุพพลภาพระดับสูญเสียไม่รุนแรง ในผู้ที่ยังทำงานได้ แต่มีความสามารถ หรือประสิทธิภาพในการทำงานลดลงจนรายได้ลดลงไปด้วย จะได้รับเงินทดแทนรายได้ส่วนที่ลดลงไม่เกิน 30% เป็นระยะเวลาไม่เกิน 180 เดือน
    ส่วนผู้ที่ทุพพลภาพจนไม่สามารถทำงานได้ตามปกติ และขาดรายได้ จะได้รับเงินทดแทนการขาดรายได้ในส่วนนั้นๆ 30% ตลอดระยะเวลาที่ไม่สามารถทำงานได้ตามปกติ แต่ต้องเป็นระยะเวลาไม่เกิน 180 เดือน
  • กรณีทุพพลภาพระดับสูญเสียรุนแรง จะได้รับเงินทดแทนการขาดรายได้ 50% ของเงินเดือนเฉลี่ยไปตลอดชีวิต

ผู้ทุพพลภาพที่ต้องเข้ารับการรักษาที่โรงพยาบาล การเบิกค่ารักษา หรือค่าบริการด้านการแพทย์จะขึ้นอยู่กับโรงพยาบาลรัฐ หรือเอกชน

  • โรงพยาบาลรัฐ หากเป็นผู้ป่วยนอก จะสามารถเบิกค่าบริการด้านการแพทย์ได้เท่าที่จำเป็น แต่สำหรับผู้ป่วยใน จะไม่เสียค่าใช้จ่ายใดๆ เลย
  • โรงพยาบาลเอกชน หากเป็นผู้ป่วยนอก จะสามารถเบิกค่าบริการด้านการแพทย์ได้ไม่เกินเดือนละ 2,000 บาท ส่วนผู้ป่วยในจะเบิกได้ไม่เกินเดือนละ 4,000 บาท

4. สิทธิประโยชน์กรณีตาย

ผู้ประกันตนที่ถึงแก่ความตาย ญาติของผู้ประกันตนจะได้รับเงินค่าทำศพเป็นจำนวน 40,000 บาท และได้รับเงินสงเคราะห์เพิ่มเติม ซึ่งมีเงื่อนไขต่อไปนี้

  • กรณีผู้ประกันตนจ่ายเงินสมทบ 36 เดือนขึ้นไป แต่ไม่ถึง 120 เดือน จะได้รับเงินสงเคราะห์ 50% ของเงินเดือนเฉลี่ย 4 เดือน
  • กรณีผู้ประกันตนจ่ายเงินสมทบ 120 เดือนขึ้นไป จะได้เงินสงเคราะห์ 50% ของเงินเดือนเฉลี่ย 12 เดือน

5. สิทธิประโยชน์กรณีสงเคราะห์บุตร

หากผู้ประกันตนมีบุตรที่ชอบด้วยกฎหมาย และจ่ายเงินสมทบครบ 12 เดือนภายใน 36 เดือนก่อนจะใช้สิทธิ จะสามารถรับเงินสงเคราะห์บุตรเป็นจำนวนเหมาจ่ายได้เดือนละ 600 บาทต่อเดือนต่อบุตร 1 คน และสามารถรับเงินได้คราวละไม่เกิน 3 คน

สิทธิประโยชน์ข้อนี้จะสามารถใช้ได้ตั้งแต่แรกเกิดไปจนบุตรที่ชอบด้วยกฎหมายมีอายุครบ 6 ขวบบริบูรณ์เท่านั้น

6. สิทธิประโยชน์กรณีชราภาพ

สิทธิประโยชน์สำหรับผู้ประกันตนที่ชราภาพ จะขึ้นอยู่กับระยะเวลาที่จ่ายเงินสมทบไปที่กองทุนประกันสังคม ได้แก่

เงินบำเหน็จชราภาพ

  • หากจ่ายเงินสมทบต่ำกว่า 12 เดือน จะได้รับเงินบำเหน็จชราภาพเท่ากับจำนวนเงินสมทบส่วนที่ผู้ประกันตนจ่ายไป (ไม่รวมเงินสมทบส่วนที่นายจ้างจ่าย)
  • หากจ่ายเงินสมทบ 12 เดือนขึ้นไป แต่ยังไม่ครบ 180 เดือน จะได้รับเงินบำเหน็จชราภาพเท่ากับเงินสมทบของผู้ประกันตน และเงินสมทบที่นายจ้างจ่ายด้วย พร้อมทั้งจะได้รับผลประโยชน์ตอบแทนเพิ่มเติมจากสำนักงานประกันสังคมอีก

เงินบำนาญชราภาพ

  • หากผู้ประกันตนจ่ายเงินสมทบครบ 180 เดือนแล้ว จะได้รับเงินบำนาญชราภาพเป็นจำนวน 20% ของเงินเดือน 60 เดือนสุดท้ายที่ใช้เป็นฐานคำนวณเงินสำหรับแบ่งจ่ายเป็นเงินสมทบเข้ากองทุนประกันสังคม
  • หากผู้ประกันตนจ่ายเงินสมทบมากกว่า 180 เดือน ทางกองทุนประกันสังคมจะปรับอัตราเงินบำนาญจากในข้อแรกขึ้นอีก 1.5% ต่อระยะเวลาที่จ่ายเงินสมทบครบ 12 เดือน

ลักษณะการจ่ายเงินทั้ง 2 อย่างนี้จะแตกต่างกันด้วย โดยเงินบำเหน็จชราภาพจะจ่ายเป็นเงินก้อนเดียวเพียงครั้งเดียว แต่เงินบำนาญชราภาพจะจ่ายเป็นเงินรายเดือนไปตลอดชีวิต

ส่วนในกรณีผู้รับเงินบำนาญชราภาพเสียชีวิตภายใน 60 เดือนตั้งแต่มีสิทธิได้รับเงินบำนาญชราภาพ ทายาทของผู้รับเงินบำนาญจะได้รับเงินบำเหน็จชราภาพจำนวน 10 เท่าของเงินบำนาญชราภาพรายเดือนที่เคยได้รับมาจนเมื่อเสียชีวิต

7. สิทธิประโยชน์กรณีว่างงาน

  • กรณีถูกเลิกจ้าง ในระหว่างว่างงานผู้ประกันตนจะได้รับเงินทดแทนจากการขาดรายได้ 50% ของเงินเดือนที่เคยได้รับ โดยจะได้รับเงินทดแทนครั้งละไม่เกิน 180 วัน
  • กรณีลาออก หรือสิ้นสุดสัญญาจ้าง จะได้รับเงินทดแทนในระหว่างว่างงาน 30% ของเงินเดือนที่เคยได้รับครั้งละไม่เกิน 90 วัน
  • กรณีไม่ได้ทำงานจากเหตุสุดวิสัย เช่น เกิดโรคระบาด เกิดภัยธรรมชาติ ซึ่งทำให้ทั้งนายจ้าง และลูกจ้างไม่สามารถประกอบกิจการต่อไปได้ จะได้เงินทดแทนระหว่างที่ขาดรายได้ หรือว่างงาน 50% ของเงินเดือน ครั้งละไม่เกิน 180 วัน

จะเห็นได้ว่า สิทธิประกันสังคมนั้นให้ประโยชน์มากมายในช่วงเวลาที่เกิดเหตุฉุกเฉิน หรือขาดรายได้ คุณจึงไม่ควรมองข้ามผลประโยชน์เหล่านี้ที่จะช่วยเหลือคุณได้ในยามเกิดเหตุการณ์ไม่คาดคิดขึ้น

หากมีข้อสงสัยอื่นๆ เกี่ยวกับสิทธิประกันสังคม สามารถติดต่อได้ที่สายด่วนเบอร์ 1506 ตลอด 24 ชั่วโมง หรือเข้าไปหาข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่เว็บไซต์ www.sso.go.th

เปรียบเทียบราคาและแพ็กเกจตรวจสุขภาพทั่วไป จากคลินิกและโรงพยาบาลใกล้คุณ และไม่พลาดทุกอัปเดตเรื่องสุขภาพและโปรโมชั่นเมื่อกดดาวน์โหลดแอป iOS และ Android


3 แหล่งข้อมูล
กองบรรณาธิการ HD มุ่งมั่นตั้งใจให้ผู้อ่านได้รับข้อมูลที่ถูกต้อง โดยทำงานร่วมกับแพทย์และบุคลากรทางการแพทย์ รวมถึงเลือกใช้ข้อมูลอ้างอิงที่น่าเชื่อถือจากสถาบันต่างๆ คุณสามารถอ่านหลักการทำงานของกองบรรณาธิการ HD ได้ที่นี่
สำนักงานประกันสังคม, คู่มืองานทะเบียนและสิทธิบริการทางการแพทย์ (https://www.sso.go.th/wpr/assets/upload/files_storage/sso_th/d828a7ad22ee2675024d6b3102ef55f7.pdf), 29 กรกฎาคม 2563.
สำนักงานประกันสังคม กระทรวงแรงงาน, กองทุนประกันสังคม (https://www.sso.go.th/wpr/assets/upload/files_storage/sso_th/45e217178d3833079890a2541305fc78.pdf), 29 กรกฎาคม 2563.
สำนักงานประกันสังคม, คู่มือผู้ประกันตน (https://www.sso.go.th/wpr/assets/upload/files_storage/sso_th/168d83800f111b11586c74980585901b.pdf), 29 กรกฎาคม 2563.

บทความนี้มีจุดประสงค์เพื่อให้ความรู้แก่ผู้อ่าน และไม่สามารถแทนการแนะนำของแพทย์ การวินิจฉัยโรค หรือการรักษาได้ ผู้อ่านควรพบแพทย์เพื่อให้แพทย์ตรวจที่สถานพยาบาลทุกครั้ง และไม่ควรตีความเองหรือวางแผนการรักษาด้วยตัวเองจากการอ่านบทความนี้ ทาง HD พยายามอัปเดตข้อมูลให้ครบถ้วนถูกต้องอยู่เสมอ คุณสามารถส่งคำแนะนำได้ที่ https://honestdocs.typeform.com/to/kkohc7

ผู้เขียนและผู้รีวิวบทความไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับสินค้าหรือบริการที่นำเสนอแต่อย่างใด เว้นแต่จะระบุในเนื้อหา การแนะนำสินค้าและบริการแสดงขึ้นอัตโนมัติจากระบบของเว็บไซต์หรือแอปพลิเคชัน

ขอบคุณที่อ่านค่ะ คุณคิดว่าบทความนี้มีประโยชน์มากแค่ไหนคะ
(1 ดาว - น้อย / 5 ดาว - มาก)

บทความต่อไป
ประโยชน์ของการหยุดสูบบุหรี่ที่มีต่อร่างกาย ลดความเสี่ยงอะไรบ้าง ตั้งแต่ 20 นาที จนถึง 15 ปี
ประโยชน์ของการหยุดสูบบุหรี่ที่มีต่อร่างกาย ลดความเสี่ยงอะไรบ้าง ตั้งแต่ 20 นาที จนถึง 15 ปี

ร้อยพันประโยชน์ของการหยุดสูบบุหรี่ อ่านสักนิด คุณภาพชีวิตดีขึ้นแน่นอน

อ่านเพิ่ม
อาหารต้านเชื้อราแคนดิดา (Candida Diet)
อาหารต้านเชื้อราแคนดิดา (Candida Diet)

หากจำนวนเชื้อราแคนดิดาในร่างกายมีมากเกินไป อาจนำไปสู่การติดเชื้อที่เป็นอันตรายถึงชีวิตได้

อ่านเพิ่ม
10 วิธีหยุดอาการกรดไหลย้อนด้วยตนเอง
10 วิธีหยุดอาการกรดไหลย้อนด้วยตนเอง

หยุดอาการแสบร้อนยอดอก หยุดกรดไหลย้อน คุณทำได้ด้วยตนเองตามคำแนะนำนี้

อ่านเพิ่ม